หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความสนใจในวงการธุรกิจทันตกรรม อาจเคยได้ยินชื่อของ “Bangkok Smile Dental Clinic” คลินิกทันตกรรมชื่อดังที่มีอายุครบ 20 ปีในปีที่ผ่านมา โดยมีทั้งหมด 8 สาขา ในกรุงเทพฯ และ 2 สาขาในภูเก็ต
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทาง Bangkok Dental Smile Clinic ได้ให้บริการด้านทันตกรรมแก่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เช่น จากประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศจากทวีปยุโรป เป็นต้น และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 20 ปี ทาง Bangkok Smile Dental Clinic ยังได้เปิดตัวรถทันตกรรมเคลื่อนที่ SMILE EXPRESS ให้บริการทันตกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ โดยทีมทันตแพทย์ของ Bangkok Smile Dental Clinic อีกด้วย
โดย Bangkok Smile Dental Clinic เน้นให้บริการรักษาที่มีมาตรฐานระดับสากล สะดวกรวดเร็ว เพื่อสร้างความอุ่นใจและมอบผลลัพธ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้เข้ารับการรักษา เป็นหนึ่งในคลินิกเพียงไม่กี่แห่งที่มีแล็บทันตกรรมเป็นของตนเอง และยังเป็นคลินิกแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้ร่วมมือกับ Malo Dental คลินิกทันตกรรมระดับโลก ผู้นำในการรักษา
ทันตกรรมรากเทียมและยังนำการรักษาแบบ All-On-4TM หรือทันตกรรมฟันเทียมถาวรใหม่ทั้งชุดภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อให้คนไข้ได้สัมผัสประสบการณ์ใช้ฟันชุดใหม่ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
นอกจากนี้ทางคลินิกยังมีบริการจัดฟันใสภายใต้แบรนด์ “Crystal Smile” โดยใช้เทคโนโลยีจากประเทศสหรัฐอเมริกา สามารถวางแผนการรักษาและมองเห็นทุกขั้นตอนตลอดจนผลลัพธ์ล่วงหน้า ด้วยเทคโนโลยี 3D ขั้นสูง ในราคาที่จับต้องได้
ครั้งนี้ ทีมงาน Bangkok Business Lawyer ได้มีโอกาสพูดคุย ‘ทพ.เสริมสกุล วงศ์ถิรพร’ ทันตแพทย์ผู้ก่อตั้ง Bangkok Smile Dental ถึงมุมมองและวิสัยทัศน์ที่มีต่อธุรกิจทันตกรรมตลอด 20 ปีที่ผ่านมา รวมถึงข้อคิดต่าง ๆ ในการทำธุรกิจ บทความนี้ จะพาคุณไปทำความรู้จักกับคุณหมอให้มากขึ้น
Bangkok Business Lawyer: จากจุดเริ่มต้นที่คุณหมอเป็นเพียงทันตแพทย์คนหนึ่งในโรงพยาบาล มาจนถึงปัจจุบันที่คุณหมอได้ประกอบธุรกิจด้านทันตกรรมมาอย่างยาวนาน อยากทราบว่า คุณหมอมีวิสัยทัศน์อย่างไรต่อการเติบโตของธุรกิจทันตกรรมในประเทศไทย?
ทพ.เสริมสกุล: “โดยส่วนตัวของผมเอง นอกจากบทบาททันตแพทย์แล้ว ผมมีความเป็นผู้ประกอบการอยู่ในตัวด้วย ผมมองเห็นโอกาสต่าง ๆ ในธุรกิจและชอบที่จะศึกษาเรื่องธุรกิจ การตลาด และการตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นพื้นฐาน เพราะทำให้เรามองไปข้างหน้าและปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมเริ่มเปิดคลินิกสาขาแรก ผมคิดว่า ทันตกรรมนั้นเป็นเรื่องจำเป็นของทุกคน คนที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ดี มันเป็นเรื่องที่ทรมานมาก ประกอบกับการเติบโตของประชากรที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการในคลินิกทันตกรรมก็สูงขึ้นไปด้วย ในด้านการเติบโต ผมมองว่า มันมีหลายมิติของการเติบโต ทั้งด้านรายได้ ด้านฐานลูกค้า ด้านจำนวนคลินิก และด้านพนักงานในองค์กร
แต่ถ้ามองในปัจจุบันนี้ การเติบโตด้านประชากรอาจจะลดลง เพราะตอนนี้ Gen X ก็เริ่มมีอายุมากขึ้น ถึงแม้ว่ายังอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ก็เริ่มมีอายุมากขึ้น จึงจะต้องเริ่มรักษาฟัน ใช้บริการอย่าง ด้านฟันปลอม รากฟันเทียม หรือการจัดฟัน ถ้าแบบนี้ ก็มองได้ยาวถึง 50 ปี ข้างหน้าเลยครับ แต่ก็จะมีพฤติกรรมการซื้อที่แตกต่าง จึงต้องกลับไปมองปัจจัยอื่น ๆ
ยกตัวอย่าง เช่น การมองถึงสัตว์เลี้ยงที่เป็นที่นิยม อย่างตอนโควิด คนเริ่มมีสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เนื่องจากว่า คนอยู่บ้านแล้วเหงา ก็เลยอยากมีเพื่อน หรือเมื่อคนอยากมีลูกน้อยลง ก็ทำให้อยากมีสัตวเลี้ยงมาทดแทน
สรุปได้ว่า ถ้าในอีก 50ปี ข้างหน้า ทันตกรรมก็ยังเติบโตขึ้นได้ แต่กลุ่มลูกค้าอาจจะเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงความต้องการด้านทันตกรรมก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป แต่เราต้องจับเทรนด์ของการเปลี่ยนแปลงให้ได้ เพราะจะทำให้เราเติบโตไปได้”
Bangkok Business Lawyer: จากที่ตอนแรกมีเพียงแค่ 1 สาขา จนถึงปัจจุบันที่มีหลายสาขา คุณหมอมีหลักการหรือข้อแนะนำในการปรับโครงสร้างธุรกิจอย่างไร เพื่อให้การขยายธุรกิจเติบโตและดำเนินไปอย่างมั่นคง
ทพ.เสริมสกุล: “การวางโครงสร้างธุรกิจให้สามารถรองรับการขยายได้ 1. เราต้องมีวิสัยทัศน์ว่า ธุรกิจเราจะสามารถขยายไปได้ขนาดไหน และ 2. เราต้องมองภาพการบริหารจัดการแบบองค์รวมให้ออกอีกด้วย พอตอนที่เราเริ่มจะขยายสาขา ผมก็ต้องวางโครงสร้างทางด้านรายได้ และโครงสร้างการบริหารจัดการ การวางโครงสร้างการบริหารจัดการ เราก็ต้องตั้งเป็นทีม เช่น ทีมจัดซื้อ ทีมการตลาด ทีมการดูแลลูกค้า ต่าง ๆ โดยมีบทบาทหน้าที่ ๆ ชัดเจน ซึ่งการแบ่งบทบาทหน้าที่ ทำให้การการบริหารง่ายขึ้น ดำเนินงานได้รวดเร็วขึ้น และบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นมาก ทำให้ราคาค่าใช้จ่ายในการรักษานั้นต่ำลงไปด้วย ซึ่งลูกค้าก็จะได้ประโยชน์นั้นไปด้วย
และอีกส่วนหนึ่งที่ผมให้ความสำคัญมากตั้งแต่เริ่มธุรกิจคือ เรื่องกฎหมาย เพราะผมมองว่า การที่เราตั้งใจที่จะทำธุรกิจ ผมเองก็ไม่อยากให้การทำธุรกิจเราสะดุดด้วยที่ว่า เราทำอะไรที่ผิด หรือสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เราโดนถอนใบอนุญาต หรือโดนคดีความต่าง ๆ ในการประกอบธุรกิจคลินิกทันตกรรม และไม่เพียงแต่กฎหมายสาธารณสุข เราต้องมองถึง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายแรงงาน กฎหมายที่คุ้มครองผู้บริโภค ที่เราจะไม่ทำการละเมิดสิทธิของคนไข้ที่มาทำการรักษากับทางเรา ในทางการดำเนินงานของเราแล้ว เราดำเนินงานถูกต้องตามกฎหมาย
แต่ในแง่ของการบริหาร ผมใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ถึงการดำเนินงานของเราถูกต้องตามกฎหมาย แต่ผมก็จะไม่เลือกที่จะใช้หลักนิติศาสตร์นำ ผมมองถึงผลลัพธ์และความพึงพอใจในการอยู่ร่วมกันมากกว่า เราใช้การคุยและประนีประนอมก่อนในทุก ๆ กรณีเว้นแต่ว่าการประนีประนอมนั้นไม่ลงตัว”
Bangkok Business Lawyer: คุณหมอสร้างความแตกต่างทางธุรกิจของ Bangkok Smile Dental Clinic ได้อย่างไร? และยังสามารถทำให้ธุรกิจเติบโตได้ ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดของคลินิกทันตกรรมในประเทศไทย?
ทพ.เสริมสกุล: “การเติบโตสามารถมองได้หลายมุม ไม่ว่าจะเป็น ในมุมตัวเลข ในมุมรายได้ ในมุมลูกค้า ในมุมองค์กร ในมุมของกระบวนการ แต่ถามว่า มีการแข่งขันที่ดุเดือดไหม? ก็มีอยู่แล้ว มีทันตแพทย์จบใหม่ทุกปี ตัวเลขที่เปิดคลินิกทันตกรรม ก็ประมาณ 400-500 คลินิกครับ ทุก ๆ ปีจะมี Closed Down Rate 10% เสมอ เยอะนะครับ แต่สุดท้ายก็วนกลับมาว่า เราอยู่ในยุคที่ธุรกิจที่ยังไม่เคยมีใครทำ มันถูกทำไปกันหมดแล้ว ยกเว้นว่า เราจะเป็นสายที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถเป็นพิเศษจากประสบการณ์ ที่คนอื่นลอกเลียนแบบได้ยาก แต่สายนี้มันค่อนข้างถูกทำไปหมดแล้ว ทุก ๆ อาชีพมีจุดยืนอยู่ ขึ้นกับว่าจะใช้มุมไหน ไม่ว่าจะเป็น มุมการตลาด หรือสิ่งที่เราคาดหวังว่า เราสามารถทำได้
อย่างในมุม Customer จะมี 4 เรื่อง 1. Business model 2. Branding 3. Marketing 4. Selling ถ้าเราจะไปเรื่อง Selling มันจะได้ไม่เยอะ ก็คือ ใครสามารถปิดการขายได้เร็วกว่ากัน ใครเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่ากัน ด้านการตลาด ก็อาจจะต่างขึ้นมาได้บ้าง มันคือหลักที่ว่า ใครจะสื่อสารกับ Customer ได้ดีกว่ากัน ใครจะสื่อสารแล้วลูกค้าเข้าใจ การใส่ใจ การสนใจ ใครจะคิดถึงเราเมื่อมีปัญหา ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ Business Model ใน 4 สิ่งนี้ มันคือสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้
ถ้าเรามองให้ไกล ๆ ในมุมของเจ้าของกิจการ เจ้าของธุรกิจ ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าของธุรกิจ เจ้าของต้องมองดูเรื่องของการหา Point ของกิจการเราเอง ถ้าเราหาเจอ เราก็จะเจอ Position ของเรา ซึ่งจริง ๆ เวอร์ชันที่เราเป็น คนอื่นอาจจะไม่ต้องรู้ เราอาจจะคาดหวังให้ลูกค้าเรารู้ก็พอแล้ว เพราะเราไม่ได้อยู่ในยุคที่ทำทุกอย่างได้เต็มที่ เราแค่เข้าไปถึงบางกลุ่ม จริง ๆ เป็นสิ่งที่ดีนะ Social Media มันเป็นดาบสองคม คือ ใคร ๆ ก็ทำได้ เราก็ทำได้ มันก็แล้วแต่ว่า ใครจะใช้ได้ดีกว่ากัน กว่าเราจะ Landing เราก็ต้องผ่านการทำ Marketing ไปก่อน เราต้องคิดให้เป็นระบบ เพราะฉะนั้น การทำธุรกิจมันมีช่องว่างเสมอ มันเป็นช่องว่างที่ทุกคนทำซ้ำหมดแล้วครับ
สำหรับ Bangkok Smile Dental Clinic เอง เราเน้นเรื่องคุณภาพของการรักษา ที่มีมาตรฐานและได้รับการยอมรับระดับสากล มอบความสะดวกและรวดเร็วในการรับการรักษา คนไข้สามารถเห็นแนวทางการรักษาและผลลัพธ์ของการรักษาได้ก่อนที่จะได้รับการรักษา รวมถึงการที่เรามีแล็บเป็นของเราเองที่สามารถควบคุมคุณภาพการรักษาของเราได้อีกด้วย”
Bangkok Business Lawyer: จากที่คุณหมอได้คลุกคลีอยู่ในวงการธุรกิจทันตกรรมมาตลอด 20 ปี คุณหมอมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในวงการธุรกิจนี้อย่างไรบ้าง?
ทพ.เสริมสกุล: “ถ้าพูดถึงความเปลี่ยนแปลง สมัยก่อน เมื่อ 20ปีที่แล้ว จำนวนหมอฟันยังไม่เยอะ มีการแข่งขันน้อย พอไม่มีการแข่งขัน มันก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อการแข่งขันน้อย ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะอย่างไรก็จะมีการขายให้ลูกค้าเสมอ เนื่องจากจำนวน Demand กับ Supply มันอาจจะไม่ Balance กัน แต่ในวันนี้มี Supply มากขึ้น แต่ Demand น้อยลง
ผมมองการเปลี่ยนแปลงออกเป็นสองด้าน 1. ด้านการให้การรักษาและบริการ ด้านการรักษาเอง ด้วยเทคโนโลยีการศึกษาที่ทันสมัยมากขึ้น การแข่งขันของทันตแพทย์ด้วยกันเอง คลินิกทันตกรรมเอง ทำให้การนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อนำมารักษา การออกแบบบริการจากเดิมที่เปิดเป็นคลินิกให้ลูกค้ามานั่งรอ แต่ตอนนี้ เราต้องคำนึงถึง Customer experience ในการมาใช้บริการกับทางเราอีกด้วย
2. ด้านลูกค้าที่ต้องการมารับการรักษา จำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น รายได้ของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น ลูกค้าก็ไม่ได้มองหาการรักษาแบบ ขูดหินปูน อุดฟัน ถอนฟันเท่านั้น อีกต่อไปแล้ว ลูกค้าก็มองในเรื่องของความสวยงามของฟัน จะเห็นได้ว่า การขยายตัวของกลุ่มจัดฟันใส และการทำ Veneer นั้น มีความต้องการที่สูงมากขึ้น ลูกค้าก็ต้องการรับประสบการณ์ในการใช้บริการที่ดีมากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งลูกค้าสามารถที่จะแสดงความคิดเห็น หรือที่เรียกว่า Review ได้”
Bangkok Business Lawyer: จากการเดินทางของ Bangkok Smile Dental Clinic ที่ครบรอบ 20 ปี ในปีที่ผ่านมา คุณหมอมองอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าของ Bangkok Smile Dental Clinic ไว้อย่างไร?
ทพ.เสริมสกุล: “จริง ๆ ถือว่าผ่านประสบการณ์มาเยอะมากนะครับ ที่ทำให้เรามาอยู่ที่จุดนี้ได้ 20 ปีที่ผ่านมา เราทำเพื่อตัวเองมาตลอดเลย ณ ตอนนี้ ผมก็เริ่มมองที่ว่า เราสามารถที่จะทำอะไรให้คนอื่นบ้าง ทำประโยชน์ให้ Stakeholder ที่นอกเหนือจากลูกค้าของเรา บุคคลกรของเรา ตอนนี้ ผมก็มองเรื่องสังคม สิ่งแวดล้อม เพื่อนร่วมธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น ทันตแพทย์ด้วยกันเอง Supplier ต่าง ๆ ซึ่งผมมองว่า มันใหญ่มากเกินกว่าที่จะรอพึ่งใครคนหนึ่งได้ เช่น จะรออาศัยทางภาครัฐอย่างเดียว ผมว่ามันคงต้องช่วยกันขับเคลื่อน ไม่ว่าภาครัฐและภาคเอกชน
ตอนนี้ทาง Bangkok Smile Dental Clinic เราได้เริ่มแล้ว ก็จะมี “โครงการร้อยรอยยิ้ม” ที่เป็นการตรวจและรักษาเชิงรุกให้กับกลุ่มเปราะบางในสังคม ที่เราไม่อยากทิ้งและมองข้ามไป และยังมีการเริ่มสอนทันตแพทย์รุ่นใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้ด้านการรักษา รวมไปถึงการประกอบธุรกิจด้านทันตกรรมที่จะมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากยิ่งขึ้น อันนี้เป็นภาพที่ผมมองไว้ว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า มันจะเป็นเส้นทางที่เราจะเดินไป”
Bangkok Business Lawyer: ไม่ทราบว่าคุณหมอพอจะแชร์คติประจำใจหรือแนวคิดที่คุณหมอใช้ในชีวิตจริงให้กับผู้อ่านบทความนี้ได้ไหม?
ทพ.เสริมสกุล: จริง ๆ ผมไม่มีเลยครับ ถามผมวันนี้ ในวันพรุ่งนี้ อาจจะเปลี่ยนเป็นคนละ Quote ก็ได้ครับ มันอยู่ที่ว่า เราเจออะไรมาครับ ผมคิดว่า “มองโลกแล้วอยู่กับมัน” จริง ๆ ตอนก่อนช่วงโควิด ผมมองโลกอีกแบบ แต่พอตอนโควิด ผมมองว่า มันมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น คือ มันเป็นสิ่งที่เราต้องอยู่กับมันแล้วครับ แต่มันเหลือแค่ว่าเราจะรับรู้อย่างไร เข้าใจมันหรือเปล่า ? เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อที่จะอยู่กับมันได้ไหม ? มันต้องดูตัวเองในทุก ๆ วันครับ เพราะ “การเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นได้เสมอครับ”
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก ท.พ.เสิรมสกุล วงศ์ถิรพร
สัมภาษณ์โดย ชัยวิทย์ เศรษฐภากรณ์
เรียบเรียงโดย ศิริพร เศรษฐภากรณ์
